
ฟังก์ชัน DATEDIF ใน Excel คำนวณหาผลต่างของข้อมูลประเภทวันที่
ฟังก์ชัน DATEDIF ใช้สำหรับคำนวณหาผลต่างของข้อมูลประเภทวันที่ 2 ค่า โดยมีรูปแบบการใช้งานดังนี้
=DATEDIF(start_date,end_date,unit)
start_date
คือ วันเริ่มต้นend_date
คือ วันสิ้นสุดunit
คือ หน่วยของผลลัพธ์ที่ต้องการ สามารถระบุได้ดังนี้"Y"
คืนค่าเป็นจำนวนปีแบบเต็ม"M"
คืนค่าเป็นจำนวนเดือนแบบเต็ม"D"
คืนค่าเป็นจำนวนวันแบบเต็ม"MD"
คืนค่าเป็นผลต่างระหว่างจำนวนวันในstart_date
และend_date
โดยไม่สนใจเดือนและปีของวันที่ทั้งสองวัน"YM"
คืนค่าเป็นผลต่างระหว่างเดือนใน start_date และ end_date"YD"
คืนค่าเป็นผลต่างระหว่างจำนวนวันของ start_date และ end_date โดยไม่สนใจปีของวันที่ทั้งสองวัน
ตัวอย่างการใช้ฟังก์ชัน DATEDIF
สมมติว่าเรามีข้อมูลที่ต้องการนำมาคำนวณเป็นวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดอยู่ในตาราง ดังภาพ

จากข้อมูลตัวอย่าง เรามีวันที่เริ่มต้นเป็นวันที่ 8 มิ.ย. 1985 และวันสิ้นสุดเป็นวันที่ 1 ต.ค. 2023 เราสามารถใช้ฟังก์ชัน DATEDIF คำนวณหาผลต่างระหว่างวันที่ทั้ง 2 โดยให้คืนค่ากลับมาเป็นผลลัพธ์ในรูปแบบที่เราต้องการได้ 6 รูปแบบ ดังนี้
คำนวณปีแบบเต็ม
ถ้าต้องการคำนวณผลต่างเป็นจำนวนปีแบบเต็ม ระหว่างวันที่ทั้ง 2 ค่า ให้กำหนด unit เป็น “Y” ดังนี้
=DATEDIF(A2,B2,"Y")
A2
คือ วันที่เริ่มต้นB2
คือ วันที่สิ้นสุด"Y"
คือ หน่วยของผลลัพธ์เป็นจำนวนปีแบบเต็ม
จากสูตร จะได้ผลลัพธ์ดังนี้

นั่นคือ ระว่างวันที่ 8 มิ.ย. 1985 ถึงวันที่ 1 ต.ค. 2023 มีระยะเวลาห่างกัน 38 ปี
คำนวณเดือนแบบเต็ม
ถ้าต้องการคำนวณผลต่างระหว่างวันที่ทั้ง 2 ค่า เป็นจำนวนเดือนแบบเต็ม สามารถเขียนสูตร์ดังนี้
=DATEDIF(A2,B2,"M")
"M"
คือ กำหนดหน่วยของผลลัพธ์เป็นจำนวนเดือนแบบเต็ม
จากสูตรจะได้ผลลัพธ์ดังนี้

นั่นคือ ระว่างวันที่ 8 มิ.ย. 1985 ถึงวันที่ 1 ต.ค. 2023 มีระยะเวลาห่างกัน 459 เดือน
คำนวณวันแบบเต็ม
ถ้าต้องการคำนวณหาผลต่างระหว่างวันที่ทั้ง 2 ค่าให้ได้ผลลัพธ์เป็นจำนวนวันแบบเต็ม สามารถเขียนสูตรได้ดังนี้
=DATEDIF(A2,B2,"D")
"D"
คือ กำหนดหน่วยของผลลัพธ์เป็นจำนวนวันแบบเต็ม
จากสูตร จะได้ผลลัพธ์ดังนี้

นั่นคือ ระว่างวันที่ 8 มิ.ย. 1985 ถึงวันที่ 1 ต.ค. 2023 มีระยะเวลาห่างกัน 13994 วัน
คำนวณผลต่างเป็นจำนวนวันโดยไม่สนใจปีและเดือน
ถ้าต้องการคำนวณหาผลต่างระหว่างวันที่ทั้ง 2 ค่า โดยต้องการผลลัพธ์เป็นจำนวนวัน โดยที่ไม่สนใจว่าจะผ่านมาแล้วกี่ปีกี่เดือน สามารถเขียนสูตรได้ดังนี้
=DATEDIF(A2,B2,"MD")
"MD"
คือ กำหนดรูปแบบผลลัพธ์เป็นจำนวนวัน โดยไม่สนใจปีและเดือนของวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุด
จากสูตร จะได้ผลลัพธ์ดังนี้

นั่นคือ ระว่างวันที่ 8 ถึงวันที่ 1 มีระยะเวลาต่างกัน 23 วัน (ไม่สนใจปีและเดือน)
คำนวณผลต่างเป็นจำนวนเดือน โดยไม่สนใจวันและปี
ถ้าต้องการคำนวณผลต่างระหว่างวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดเป็นจำนวนเดือน โดยไม่สนใจปีและวัน สามารถเขียนสูตรได้ดังนี้
=DATEDIF(A2,B2,"YM")
"YM"
คือ กำหนดหน่วยของผลลัพธ์เป็นจำนวนเดือน โดยไม่สนใจปีและวันของวันที่ทั้งสอง
จากสูตร จะได้ผลลัพธ์ดังนี้

นั่นคือ ระว่างเดือน มิ.ย. ถึงเดือน ต.ค. มีระยะเวลาต่างกัน 3 เดือน
คำนวณหาผลต่างเป็นจำนวนวันโดยไม่สนใจปี
ถ้าต้องการคำนวณหาผลต่างของวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุด โดยต้องการผลลัพธ์เป็นจำนวนวัน โดยไม่สนใจปีของวันที่ทั้งสอง สามารถเขียนสูตรได้ดังนี้
=DATEDIF(A2,B2,"YD")
"YD"
คือ กำหนดหน่วยของผลลัพธ์เป็นจำนวนวัน โดยไม่สนใจปีของวันเริ่มและวันสิ้นสุด
จากสูตรจะได้ผลลัพธ์ดังนี้

นั่นคือ จากวันที่ 8 มิ.ย. ถึงวันที่ 1 ต.ค. มีระยะเวลาห่างกัน 115 วัน
ตัวอย่างการคำนวณอายุเป็น ปี เดือน วัน
ตัวอย่างของการใช้ประโยชน์จากฟังก์ชัน DATEDIF เช่น การคำนวณอายุ โดยในตัวอย่างเราจะคำนวณอายุจากวันเกิดถึงวันปัจจุบัน
สมมติว่าเรามีข้อมูลดังตารางด้านล่าง

เราต้องการคำนวณอายุโดยนับจากวันเกิดถึงวันปัจจุบัน โดยแยกผลลัพธ์เก็บคนละคอลัมน์ เป็น ปี เดือน วัน
เราจะเริ่มคำนวณปีก่อน เขียสูตรดังนี้
=DATEDIF(A3, TODAY(), "Y")
ผลลัพธ์ จะได้จำนวณอายุเป็น ปี

ต่อไปคำนวณจำนวนเดือนที่เศษจากปี เขียนสูตรดังนี้
=DATEDIF(A3, TODAY(),"YM")
ผลลัพธ์ จะได้อายุเป็นจำนวนเดือนที่เป็นเศษจากจำนวนปี

ต่อไปเราจะคำนวณจำนวนวันที่เศษจากเดือน เขียนสูตรดังนี้
=DATEDIF(A3, TODAY(),"MD")
จะได้ผลลัพธ์เป็นจำนวนวันที่เศษจากเดือน

มาถึงตรงนี้ การคำนวณอายุก็เสร็จสมบูรณ์