ในภาษา Python เมื่อต้องการแสดงข้อมูลออกทางหน้าจอ จะใช้ฟังก์ชัน print()
พร้อมระบุข้อมูลที่ต้องการแสดง เช่น print(ข้อมูลที่ต้องการแสดง)
หรือ print(ข้อมูล, ข้อมูล, ข้อมูล, ...)
โดยมีรายละเอียดที่ควรรู้ดังนี้
ข้อมูลที่จะแสดงด้วยฟังก์ชัน print()
ถ้าเป็นสตริง (ข้อความ) ให้เขียนไว้ในเครื่องหมาย " "
หรือ ' '
ข้อมูลที่จะแสดงด้วยฟังก์ชัน print()
ถ้าเป็นตัวเลข สามารถเขียนลงไปได้โดยตรงเลย
ถ้าจะแสดงค่าจากตัวแปร ไม่ว่าตัวแปรนั้นจะเก็บข้อมูลชนิดใดก็ตาม สามารถเขียนตัวแปรลงไปได้โดยตรง
เมื่อใช้ฟังก์ชัน print()
หลังจากแสดงข้อความแล้วจะขึ้นบรรทัดใหม่โดยอัตโนมัติ
การใช้ฟังก์ชัน print()
แสดงข้อมูลหลายค่าในครั้งเดียว จะเป็นการแสดงข้อมูลเหล่านั้นในบรรทัดเดียวกัน
ตัวอย่างการใช้งานฟังก์ชัน print()
name = 'Lucy'
sirname = 'Johnson'
print('Hello', 'My name is', name, sirname)
#ผลลัพธ์ : Hello My name is Lucy Johnson
การใช้ฟังก์ชัน print() แบบซับซ้อน
นอกจากการใช้ฟังก์ชัน print()
ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว เรายังสามารถกำหนดตัวเลือกเพิ่มเติมขณะใช้ฟังก์ชัน print()
ได้อีกด้วย ซึ่งมีรูปแบบดังนี้
print(data, data, data, ..., sep=...)
print(data, data, data, ..., end=...)
print(data, data, data, ..., sep=..., end=...)
data
คือข้อมูล หรือตัวแปรที่เก็บค่าข้อมูลที่ต้องการนำมาแสดง ซึ่งจะมีจำนวนเท่าไหร่ก็ได้sep
และ end เรียกว่า Keyword Argument เป็นตัวเลือกเพิ่มเติม จะระบุหรือไม่ก็ได้
sep
มาจากคำว่า separator ใช้ระบุว่าเราต้องการคั่นระหว่างข้อมูลแต่ละตัวด้วยอะไร โดยค่าที่จะกำหนดให้ sep
ต้องอยู่ในรูปแบบของสตริง ครอบด้วยเครื่องหมาย " "
หรือ ' '
ซึ่ง sep
นี้เราจะระบุหรือไม่ก็ได้ ถ้าไม่ระบุ ข้อมูลจะถูกคั่นด้วยช่องว่าง
ตัวอย่างการใช้ฟังก์ชัน print แบบระบุ sep และไม่ระบุ sep
a = 'Lucy'
b = 'Johnson'
# ไม่ระบุ sep
print('Wanchai', 'Wanida', a, b)
# ผลลัพธ์ : Wanchai Wanida Lucy Johnson
# ระบุ sep
print('Wanchai', 'Wanida', a, b, sep=",")
# ผลลัพธ์ : Wanchai,Wanida,Lucy,Johnson
end
คือสิ่งที่จะเขียนต่อท้ายข้อมูลที่นำมาแสดงในฟังก์ชัน print()
โดยค่าของ end
ต้องอยู่ในรูปแบบของสตริง ครอบด้วยเครื่องหมาย ' '
หรือ " "
โดยปกติ เมื่อใช้ฟังก์ชัน print()
ถ้าไม่ระบุคีย์เวิร์ด end ข้อมูลที่แสดงจะถูกต่อท้ายด้วย '\n'
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำหรับการขึ้นบรรทัดใหม่
ตัวอย่างการใช้ฟังก์ชัน print() แบบระบุคีย์เวิร์ด end และไม่ระบุ
a = 'Lucy'
b = 'Johnson'
print('Wanchai', 'Wanida', a, b)
print('Wanchai', 'Wanida', a, b, end="**")
print('Wanchai', 'Wanida', a, b, end="")
ผลลัพธ์
Wanchai Wanida Lucy Johnson
Wanchai Wanida Lucy Johnson**Wanchai Wanida Lucy Johnson
ผลลัพธ์ของโค้ดบรรทัดที่ 3 (Wanchai Wanida Lucy Johnson) แสดงข้อมูลแล้วขึ้นบรรทัดใหม่ เพราะไม่ได้ระบุคีย์เวิร์ด end
ตัวแปลภาษาจึงใส่ค่าตั้งต้นให้เป็น end='\n'
โดยอัตโนมัติ ทำให้มีการขึ้นบรรทัดใหม่
ผลลัพธ์ของโค้ดบรรทัดที่ 4 และ 5 (Wanchai Wanida Lucy Johnson**Wanchai Wanida Lucy Johnson) ถูกแสดงผลในบรรทัดเดียวกัน เพราะโค้ดบรรทัดที่ 4 ระบุคีย์เวิร์ด end
เป็น "**"
ทำให้มีเครื่องหมาย **
ต่อท้ายข้อมูลและไม่ขึ้นบรรทัดใหม่ ดังนั้น ผลลัพธ์ของโค้ดบรรทัดที่ 5 จึงถูกแสดงออกมาในบรรทัดเดียวกันกับผลลัพธ์ของโค้ดในบรรทัดที่ 4 และไม่ขึ้นบรรทัดใหม่ เพราะระบุคีย์เวิร์ด end
แต่ไม่ได้ใส่ค่าใด ๆ เข้าไปนั่นเอง